พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาทำให้ แมตเจมส์ เม็ตสัน ศิลปินชาวอเมริกัน สูญเสียทุกอย่างในชีวิต รู้สึกสิ้นหวัง และแล้ววันหนึ่งลูกสาวที่เขาทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็กก็โทรมาหา และทำให้เขาอยากมีชีวิตต่อไป
แมตเจมส์ อายุ 16 ปี ตอนเขาเจอคนที่จะเป็นแม่ของลูกเขาครั้งแรก
"เซลานีเดินเข้ามาในห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์อเมริกัน ผมตะลึงไปเลย ผมคิดกับตัวเองว่า พระเจ้าช่วย นี่ใครกันนี่ ผมต้องรู้จักเธอให้ได้"
พ่อแม่ของแมตเจมส์เป็นศิลปินทั้งคู่ พ่อเลี้ยงของเขาเป็นครูสอนศิลปะที่ย้ายมหาวิทยาลัยบ่อยครั้งทำให้เขาโตขึ้นมาโดยไม่มีเพื่อนจริง ๆ เลยสักที
หลังจากอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสได้สักพัก ครอบครัวเขาก็ย้ายมาที่เมืองเยลโล สปริงส์ ในรัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ และได้เจอกับเซลานี แฟนคนแรกของเขา
หลังจากคบกันหลายปี เซลานีเกิดตั้งครรภ์ขึ้น
ตอนนั้น แมตเจมส์อายุ 18 ปี และรู้สึกยังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน
"ผมกลัวมาก ๆ นี่จะทำให้โลกของผมกลับตาลปัตรไปหมด ...ผมไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง ผมยังเด็กและไร้เดียงสาเกินไป ไม่รู้จะทำยังไง"
ด้านเซลานีตัดสินใจมีลูกและตั้งชื่อเธอว่าไทเลอร์
"ผมอุ้มไทเลอร์ประมาณ 30 วินาทีได้ และก็แค่นั้น"
"ผมไม่เข้าใจเลยว่านั่นคือลูกของผมในเชิงความรู้สึก ผมรู้ว่าผมมีส่วนเกี่ยวของในเชิงชีววิทยานะ แต่ผมแค่แบบว่า พระเจ้า นี่มันหนักหนาเหลือเกิน ไม่รู้จะทำยังไง"
แมตเจมส์บอกว่าเขาตัดสินใจหนีไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการวิ่งหนีทุกสิ่งทุกอย่างมาตลอด
หลังไปอยู่นครมอนทรีออลของแคนาดา และเมืองบอสตัน แมตเจมส์ย้ายไปเมืองนิวออร์ลีนส์ตอนอายุ 19-20 ปี
เขาพยายามวิ่งหนีอดีตแต่ก็ไม่สำเร็จ และในหนังสือภาพที่เขาผลิตออกมาในช่วงต่อมาในชีวิต มีรูปตัวเขาเองนั่งงอตัว แมตเจมส์บอกว่าเขากำลังแบกรับความรู้สึกผิดไว้ รู้สึกเหมือนเป็น "ก้อนภาระที่หนัก 16 ตัน"
เขาบอกว่าสภาวะนั้นมีส่วนทำให้เขาเสียสติจนต้องเขาไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชอยู่ช่วงหนึ่ง
หลังออกจากโรงพยาบาล เขากลายเป็นที่รู้จักในแหล่งที่เที่ยวในนิวออร์ลีนส์ ด้วยความที่เขาไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง เขาไปขออยู่บ้านเพื่อน ไปอยู่ตามร้านกาแฟ บาร์ และที่ไหนก็ตามที่คนไปกัน
เขาใช้วิธีวาดรูปลงกระดาษ ก่อนที่จะเริ่มทำงานประติมากรรมเมื่อเริ่มมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมากขึ้น
เขาเริ่มประสบความสำเร็จ มีนิทรรศการแสดงงานศิลปะไปทั่วเมือง แล้วก็หาเงินด้วยการทำงานในบาร์ และขี่จักรยานส่งพิซซ่า
ขณะเดียวกัน ไทเลอร์ เฮอร์วิตซ์ ลูกสาวของเขาก็กำลังเติบโตในเมืองเยลโล สปริงส์ที่เขาจากมา ชีวิตเธอมีความสุขดี แม่แต่งงานใหม่และมีลูกสาวอีกคน ไทเลอร์บอกว่าไม่ได้สนใจเท่าไรว่าพ่อแท้ ๆ ของเธอคือใคร
"ฉันมีครอบครัว มีเพื่อนมากมายรายล้อมตลอดเวลา ฉันไม่ได้คิดเรื่องนั้นเท่าไหร่"
"ฉันไม่เคยถาม ดังนั้นฉันก็เลยไม่เคยรู้"
เธอโตมาเป็นช่างบุเบาะเฟอร์นิเจอร์และศิลปินมากฝีมือเหมือนกับแม่ของเธอ
หลังจากไปอยู่ที่อื่นได้ไม่กี่ปี แมตเจมส์ย้ายกลับมานิวออร์ลีนส์อีกครั้งในปี 2005
เขาเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใหม่ แต่แล้วก็เกิดพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา เกิดน้ำท่วมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมือง มีคนเกือบ 2,000 รายเสียชีวิต และอีกล้านคนต้องอพยพย้ายถิ่น
อพาร์ตเมนต์แมตเจมส์ก็โดนน้ำท่วมเช่นกัน และเขาสูญเสียทรัพย์สิน รวมถึงงานศิลปะ เกือบทั้งหมด
เขาย้ายไปนครลอสแอนเจลิส ทำงานในร้านขายอุปกรณ์ศิลปะได้เงินชั่วโมงละ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ และก็คอยขอเงินคนเพื่อเป็นค่าโดยสารไปที่ทำงาน
ทุกครั้งที่มีคนโทรมาหาเขา จะเป็นข่าวร้ายเรื่องเพื่อนเขาที่นิวออร์ลีนส์ที่ได้รับผลกระทบจากเฮอร์ริเคนแคทรีนาไม่ด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง
"บางคนหันไปดื่ม บางคนเล่นยา บางคนก็ฆ่าตัวตาย" แมตเจมส์ เล่า
แมตเจมส์เล่าว่าเขาเองก็เริ่มไร้ความรู้สึก นั่งจ้องทีวีเฉย ๆ ไม่คิดแม้แต่จะเปลี่ยนช่อง เขาทำงานศิลปะไม่ได้ เขา "พร้อมเผชิญกับจุดจบแล้ว" จนกระทั่งได้รับโทรศัพท์ "ซึ่งไม่ใช่แค่ช่วยชีวิต แต่เปลี่ยนชีวิตผมด้วย"
ตอนไทเลอร์อายุ 16 ปี อยู่ดี ๆ แม่ก็ยื่นกระดาษที่เขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของพ่อให้
ไทเลอร์ตัดสินใจโทรหาพ่อทันที ทำไปโดยสัญชาตญาณ โดยคิดว่าเธอไม่มีอะไรจะเสีย
แมตเจมส์นึกว่าจะเป็นเพื่อนที่โทรมาบอกข่าวร้ายอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงไทเลอร์
"เคยได้ยินชื่อไทเลอร์มาก่อนไหม" เธอถาม
"ไทเลอร์ พ่อรอโทรศัพท์สายนี้มา 16 ปีแล้ว"
"จากนั้นฉันก็ถามพ่อว่า พ่อเกลียดหนูไหม" ไทเลอร์ เล่า
"ผมบอกว่า พ่อไม่เกลียดลูก ลูกเกลียดพ่อไหม" แมตเจมส์ กล่าว "เธอบอกว่า ไม่ ...ดูผมสิ เป็นศิลปินพัง ๆ ไม่มีอะไรจะให้ลูก แต่เราคุยกันเรื่องเพลง คุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้"
สำหรับแมตเจมส์ เหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตเขา
"ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าเหมือนกระดูกสันหลังผมกลับมาตรงอีกครั้ง ตาสว่าง ผมคิดกับตัวเองว่า ลูกสาวผมบอกว่าเจ๋งที่ผมอาศัยอยู่ลอสแอนเจลิส บางทีผมควรจะคิดว่ามันเจ๋งบ้างเหมือนกันไหม"
แมตเจมส์ บอกว่า เขาอยากจะทำให้ลูกประทับใจ
"ผมไม่สามารถจะทำได้ด้วยการมีบ้าน มีเงินในบัญชี หรือเสื้อผ้า ผมจะเป็นศิลปินที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมเริ่มทำ และทำมาตลอด และผมเป็นหนี้บุญคุณไทเลอร์เรื่องนี้"
จากนั้นเขาก็เริ่มกลับมาทำงานศิลปะอีกครั้ง ย้ายไปอยู่อพาร์ตเมนต์ที่ดีขึ้น แล้วไทเลอร์ก็บินมาดูนิทรรศการเขาที่ลอสแอนเจลิส
"ฉันรู้สึกประหม่า ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่พอเราเจอกันแล้ว มันก็รู้สึกโอเค เป็นธรรมชาติ และฉันก็เป็นตัวของตัวเองได้"
งานศิลปะของแมตเจมส์หลายชิ้นมีชื่อของไทเลอร์ซ่อนอยู่ และไทเลอร์เชื่อว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของแรงผลักดันที่พ่อได้จากเธอ
ในเวลาต่อมา แมตเจมส์ก็เดินทางไปหาลูกสาวที่รัฐโอไฮโอเช่นกัน
"มันเป็นวิธีที่ทำให้ผมโตขึ้นซะที เลิกเป็นเด็กวัยรุ่นที่วิ่งหนีสิ่งต่าง ๆ"
หลายปีที่ผ่านมา พ่อลูกได้คุยกันเรื่องเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ทิ้งเธอไป
"ลูกเข้าใจว่าทำไมผมต้องไป ...ลูกบอกว่า พ่ออยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก มันจะไม่ใช่สิ่งที่ใช่สำหรับพ่อ มันดีมากเลยที่คนที่ผมทิ้งไปมาเข้าใจผมอย่างปรุโปร่งว่าทำไมผมต้องทำเช่นนั้น และไม่โกรธที่ผมทำแบบนั้น มันยิ่งใหญ่และก็กล้าหาญมาก ๆ"
ไทเลอร์บอกว่า สังคมมองว่าเป็นตราบาปเวลาพ่อทิ้งลูกไป แต่เธอบอกว่าสิ่งที่พ่อทำเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับพ่อ และถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับเธอด้วย
เธอบอกว่าการไปมองพ่อในแง่ลบจะไม่ทำให้ได้อะไรขึ้นมา เธอมองว่าเธอได้ครอบครัวใหม่ แรงบันดาลใจใหม่ และตอนนี้ก็กำลังมีชีวิตที่ดีเยี่ยม
July 05, 2020 at 07:30PM
https://ift.tt/2ZJocvD
พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาทำชีวิตเขาพัง แต่แล้วลูกสาวที่เขาทิ้งไปตั้งแต่ยังแบเบาะก็กลับมาช่วยชีวิตเขาไว้ - บีบีซีไทย
https://ift.tt/2TVOisZ
Home To Blog
No comments:
Post a Comment