ข่าวดีจากราคาน้ำมันดิบ ช่วยดันราคาหุ้น PTTEP ไม่หยุดหย่อน ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นบวกไปแล้วถึง 28% ภายในแค่ 5 วันทำการ แต่หากมองตรงกันข้าม..ตลาดจะผิดหวังแค่ไหนกันหากข่าวดีทั้งหมดสิ้นสุดลงไปแล้ว รวมถึงนักวิเคราะห์ที่แม้จะปรับประมาณการปีนี้ขึ้น แต่ก็ยังหดตัวแรงมากจากปีก่อนอยู่ดี ทำให้จังหวะนี้ราคายิ่งขึ้น ก็ยิ่งเป็นโอกาสขายหุ้น!
*** ข่าวดีไหลเข้า PTTEP ไม่หยุด! ดันราคาหุ้นทะลุ 100 บ.
ราคาหุ้นบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ยังคงบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของเช้าวันนี้ที่ 107.50 บาท ทำนิวไฮรอบ 3 เดือน โดยหากนับรวมกัน 5 วันทำการ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปแล้วกว่า 28% ก่อนมาปิดตลาดรอบเช้าไปที่ 104 บาท เพิ่มขึ้น 5.25 บาท หรือ 5.32% มูลค่าการซื้อขาย 2,585 ล้านบาท
สาเหตุที่ราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นมาก็คือ ราคาน้ำมันดิบในทุกตลาดที่ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยหากอ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบ WTI ในวันที่ 1 พ.ค. 63 มีราคาน้ำมันดิบขณะนั้นอยู่ที่ 19.78 ดอลลาร์/บาร์เรล ถึงปัจจุบันที่ 40.08 ดอลลาร์/บาร์เรล คิดเป็นฟื้นตัวขึ้นมา 102% ไปแล้ว
นอกจากนี้ PTTEP ยังเป็นหุ้นที่ NVDR ให้ความสนใจในช่วงนี้ด้วย โดยจากการสำรวจข้อมูลผ่านโปรแกรม efin Stock Pick Up ด้วยฟังก์ชั่น Accumulate NVDR Ranking พบว่า PTTEP เป็นหุ้นที่ NVDR เข้าซื้อสุทธิมากที่สุดในวันทำการล่าสุดที่ผ่านมา(5พ.ค.63) และเป็นอันดับ 4 ที่ NVDR เข้าซื้อมากที่สุดในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา
*** ระยะสั้นเก็งกำไรต่อได้ ได้แรงหนุนจากการลดกำลังผลิต ปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบ
ข่าวดีหนุนราคาน้ำมันยังไม่หมด ล่าสุด OPEC+ ขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตอีก 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ระยะเวลาถึงสิ้นเดือน ก.ค. คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของการผลิตน้ำมันทั่วโลก และต่อจากก.ค. - สิ้นปี 63 จะปรับลดกำลังการผลิตลงอีก 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และหลังจากนั้นจะปรับลดกำลังการผลิตในปริมาณ 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวันต่อเนื่องอีก 16 เดือน ไปจนถึงปลายเดือนเม.ย. 63 ประเด็นนี้แม้จะดีแต่ก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้า
ส่วนข่าวดีที่ตลาดไม่ได้คาดคิดกันไว้มาก่อน ก็คือ ซาอุดีอาระเบีย ประกาศราคาน้ำมัน OSP ตลาดเอเชียเดือนก.ค. เป็นส่วนเพิ่ม 0.2 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบกับเดือนมิ.ย. ที่เป็นส่วนลด 5.9 ดอลลาร์/บาร์เรล (Premium/discount น้ำมัน Arab light เทียบกับ Dubai)
โดย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)หยวนต้า ระบุว่า ราคาน้ำมันจะยังมีทิศทางที่ดีต่อไปในระยะสั้น หนุนจากปัจจัยบวก ดังนี้
1) ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด
2) จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐฯ ที่ลดลง 7 แท่นติดต่อเป็นสัปดาห์ที่ 13 และ ทำระดับต่ำสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลปี 2530 เป็นสัปดาห์ที่ 5
3) สถานการณ์พายุโซนร้อน Critobal ที่เตรียมขึ้นฝั่งสหรัฐฯ จะกระทบต่อการผลิตน้ำมันบริเวณอ่าวเม็กซิโกน่า ทำให้เกิด Supply Disruption ได้คิดเป็นกำลังผลิต 15 - 45% ตามลำดับ สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่า BP, Equinor, Occidental เริ่มมีการอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวเม็กซิโกแล้ว
4) การประกาศเพิ่มราคาน้ำมัน OSP เป็น Premium ของซาอุฯ ที่มากกว่าผลสำรวจของ Platts สะท้อนถึงการมุ่งมั่นปรับลดการผลิตอย่างจริงจังเป็นบวกต่อน้ำมันดิบ
*** ระวังราคาไปต่อไม่ไหว! ราคาน้ำมันดิบระยะกลาง-ยาว มีอัพไซด์จำกัด
ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรงย่อมสะท้อนข่าวดีไปจำนวนมากแล้ว ผนวกกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่อัพไซด์เริ่มจำกัด นักลงทุนอาจต้องจับตาด้วยว่าราคาหุ้นอาจไปต่อไม่ไหว !
บล.หยวนต้า ระบุเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/63 ราคาหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเฉลี่ย 48% ดังนั้นถือว่าราคาสะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์หลังการเปิดเมืองไปบางส่วนแล้ว และราคาน้ำมันในระยะกลาง - ยาวเริ่มมีอัพไซด์จำกัดจากสาเหตุดังนี้
1) ตัวเลขแท่นขุดเจาะน้ำมันมีโอกาสพลิกมาปรับขึ้นในอีก 2 - 6 สัปดาห์ข้างหน้า ทำให้การผลิตจากฝั่งสหรัฐฯ สูงขึ้น
2) ภาวะ Forward Curve ของน้ำมันเริ่มมีสัญญาณเป็น Backwardation (ราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ต่ำกว่าราคาของสัญญาซื้อขายระยะสั้น)
3) ปริมาณสต็อกน้ำมันดิบทั่วโลกยังอยู่ระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี
4) ความเสี่ยงของนโยบายลดการผลิตของ OPEC+ จากตัวเลข Compliance (อิรักต้องปรับลดการผลิตเดือนส.ค.-ก.ย.ราว 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อชดเชย Shortfall เดือนพ.ค.-มิ.ย. และลิเบียอาจเพิ่มการผลิตหลังการเมืองในประเทศดีขึ้น) และ Exit strategy ของซาอุฯ-รัสเซีย เพื่อควบคุมไม่ให้ราคาน้ำมันร้อนแรงเกินไป เพราะจะกระตุ้นให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯกลับมา นำไปสู่ความล้มเหลวของความร่วมมือของ OPEC+ ตามวัฏจักรเดิม
*** กูรูชี้ราคายิ่งพุ่ง ยิ่งเป็นโอกาสทยอยขาย!
จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่โอกาสปรับขึ้นแรงในช่วงถัดไปเป็นไปได้ยากแบบนี้ การเข้าซื้อเพื่อหวังลงทุนระยะยาวจึงไม่เหมาะสมอย่างมาก ด้วยแม้จะมองข้ามไปที่กำไรปี 64 นักวิเคราะห์ก็ยังคาดจะทำได้แค่ราว 2 หมื่นล้านบาท ถือว่าต่ำมากหากเทียบกับปี 62 ที่ทำได้ 4.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงก่อนวิกฤต นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังแนะนำว่ายิ่งขึ้นต่อก็ยิ่งเป็นโอกาส "ขาย" ด้วย เพราะปัจจุบันซื้อขายกันเกินราคาเหมาะสมไปแล้ว
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุกลุ่มสำรวจและผลิต อย่าง PTTEP แม้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเป็นบวกต่อจิตวิทยากการซื้อขาย แต่ยังมีปัจจัยเฉพาะตัวที่ต้องระวังในส่วนของราคาขายตามสัมปทานใหม่ของแหล่งบงกชและเอราวัณในปี 2565 ซึ่งลดลงจากราคาขายของสัมปทานเดิม จะทำให้กำไรของ PTTEP ในช่วงปี 63 - 66 เป็นขาลง จึงมองว่าเป็นโอกาสทยอยลดการลงทุนลง
บล.ทรีนีตี้ เราปรับประมาณการราคาน้ำมันปี 64 เพิ่มเป็น 50 ดอลลาร์/บาร์เรล (เดิม 42 ดอลลาร์/บาร์เรล) ส่งผลให้เราปรับประมาณกำไรของ PTTEP ปี 64 เพิ่มขึ้น +43% มาเป็น 2.1 หมื่นล้านบาท (เดิม 1.5 หมื่นล้านบาท)
จากแนวโน้ม Supply ที่ลดลงเร็วมากกว่าคาดทั้งจากบริษัท Shale Oil ในสหรัฐฯ ที่เริ่มเกิดการล้มละลาย การลดกำลังผลิตของ OPEC ในขณะที่ Demand เองเริ่มกลับมาเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังจากหลายๆ ประเทศเพิ่มมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdowns ดังนั้นราคาน้ำมันสิ้นปี 63 มีโอกาสจะอยู่ในระดับ 40 - 45 ดอลลาร์/บาร์เรล และ ปี 64 ที่ระดับ 45 - 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
โดยราคาเหมาะสมของนักวิเคราะห์แต่ละรายเป็นดังนี้
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม(บ.) |
ยูโอบี เคย์เฮียน |
ขาย |
75 |
ฟินันเซีย ไซรัส |
ขาย |
80 |
เอเชีย เวลท์ |
ถือ |
88 |
โนมูระ พัฒนสิน |
ถือ |
89 |
ทรีนีตี้ |
ซื้อ |
90 |
คันทรี่ กรุ๊ป |
ซื้อ |
97 |
ดีบีเอส วิคเคอร์ส |
ซื้อ |
101 |
หากนักลงทุนมีหุ้น PTTEP ที่ต้นทุนต่ำอยู่แล้วต้องขอแสดงความยินดีด้วย! เพราะในระยะสั้นอาจต้องจับตาแค่แรงซื้อของต่างชาติจะหนุนราคาหุ้นไปได้แค่ไหนเท่านั้น แต่หากนักลงทุนไม่มีหุ้นอาจต้องคิดให้หนัก เพราะการเข้าซื้อในตอนนี้ จะต้องเจอความเสี่ยง ทั้งราคาน้ำมันดิบที่เหลืออัพไซด์ไม่มาก แรงขายจากนักลงทุนที่เก็บหุ้นไปก่อนหน้า และแรงซื้อของต่างชาติที่ไม่รู้จะหยุดเหมือนกลุ่มแบงก์เมื่อไหร่!
No comments:
Post a Comment